
อยากได้ผลตอบแทน ดอกเบี้ยสูง อาจเสียหายได้
ต้องระวังอาจผิดกฎหมาย และต้องสูญเสียเงิน เป็นคดีเกี่ยวกับการถูกหลอกให้ลงทุนเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราสูง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงนำเงินไปลงทุน ซึ่งดอกเบี้ยสูงเป็นดอกเบี้ยต้องห้ามตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 เมื่อทราบว่าดอกเบี้ยสูงเกินกฎหมายบัญญัติว่า แม้จะเป็นผู้เสียหาย" ก็มิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีในความผิดฉ้อโกงได้"
หมายถึง ไม่สามารถเรียกเงินที่ร่วมลงทุน คืนได้
ทั้งนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2563
วินิจฉัยว่า “ .......... แม้ผู้เสียหายทั้งสามสิบสองจะหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยทั้งสามจึงมอบเงินให้แก่จำเลยทั้งสามเพื่อให้จำเลยทั้งสามนำเงินไปลงทุนเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราที่สูงโดยจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้เข้าร่วมลงทุนในหลายลักษณะคิดเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 72 , 144 , 192 ,240,288 และ 432 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ผู้ร่วมทุนให้จำเลยทั้งสามกู้ยืมจะมีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนในทุก 2 ถึง 3 วันหรือทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน ซึ่งผลตอบแทนที่ผู้เสียหายทั้งสามสิบสองจะได้รับล้วนต้องห้ามตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475มาตรา 3 พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 มาตรา 4(1) ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ถือว่า เป็นกิจการที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามตามกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายทั้งสามสิบสองรับข้อเสนอดังกล่าวโดยมีเจตนาร้ายมุ่งประสงค์ต่อผลประโยชน์อันเกิดจากการกระทำที่ผิดกฎหมาย ผู้เสียหายทั้งสามสิบสองจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามในความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอำนาจสอบสวนคดีนี้ และพนักงานอัยการย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควาอาญา มาตรา 2(4)(7) และมาตรา 120 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง มานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน ( ศาลฎีกายกฟ้องฐาน ร่วมกันฉ้อโกง เหมือนกับศาลอุทธรณ์)
สรุปว่าผู้ลงทุนสูญเงิน เนื่องจากศาลยกฟ้องในคดีฉ้อโกง เพราะผู้เสียหายรับข้อเสนอเรื่องอัตราดอกเบี้ยแพงกว่ากฎหมายจึงถือว่ามีเจตนาร้าย จึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิ์ร้องทุกข์ตามกฎหมายให้ลงโทษจำเลยในความผิดฉ้อโกงได้ เมื่อตำรวจรับแจ้งความกล่าวโทษร้องทุกข์ไว้จึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควาอาญา มาตรา 2(4)(7) และมาตรา 120 เมื่อไปแจ้งความ พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอำนาจสอบสวนคดีนี้ และพนักงานอัยการย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง
แต่ผู้ที่กระทำผิดติดคุกในความผิดอันความผิดฐาน “ ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 ตามมาตรา 4 โทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 10ปี และปรับตั้งแต่ 5 แสนบาทถึง1 ล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่
# ปรึกษาปัญหากฎหมาย หรือจ้างว่าความคดีแพ่ง อาญา ปกครอง
ติดต่อ ทนายณัฐปวิญ์ (ปีเตอร์) คงเกียติภาคิน โทรและไลน์ 081 952 5875
สำนักงานทนายความคงเกียรติภาคิน E-mail : peterlawpattaya@gmail.com